ทรีทเมนท์ (Treatment) คืออะไร หลายๆคนคงเคยได้ยินมาบ้างแล้วจากโฆษณาในทีวี ทรีทเมนท์บำรุงเส้นผม ทำให้ผมสวยเงางามเป็นประกาย นั่นแหละครับ ถุยยยยย มันคนละทรีทเมนท์กัน (จะฮาไปไหน) จริงๆแล้ว ทรีทเมนท์ คือ โครงเรื่องขยาย ซึ่งหมายความว่า ขยายรายละเอียดเพิ่มเติมจากพล๊อต ให้มีรายละเอียดของหนังมากขึ้น เห็นเรื่องราวทั้งหมดของหนังมากขึ้น จากเดิมพล๊อตมีแค่ 3-4 บรรทัด มีเส้นเรื่องหลักที่ชัดเจน นำมาขยายต่อใส่รายละเอียดเพิ่มเติมแต่ยังคงประเด็นหลักไว้ (เคยสอนไปแล้วในบทแรกๆ)
จากพล๊อต เติมรายละเอียดลงไปทั้งหมดของหนังที่ต้องการ ให้เห็นเป็นโครงเรื่องชัดเจน ตั้งแต่ต้นจนจบ อ้อ ไม่ต้องกั๊กหรือปิดตอนจบละ (จะปิดไม่ให้ใครดู คนทำก็ต้องรู้อยู่ดี) ทรีทเมนท์จะเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบตามแกนเรื่องหลักที่ตั้งไว้ ไม่ใช่ใส่อะไรลงไปมั่วๆจนหนังเพี้ยนเสียประเด็นหลักไป ฟังแล้วดูงงๆละสิ งั้นลองมาดูตัวอย่างกัน
หลับตาสิ จินตนาการถึงหนังสั้นของเรา เล่าเรื่องยังไง ดำเนินเรื่องยังไง อะไรก่อนหลัง ลองเล่าให้คนอื่นฟังดูสิ ถ้าเราเล่าได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็จะเขียนทรีทเมนท์ได้ละ ก็คล้ายกับที่เล่าให้คนอื่นฟังนั่นเอง
จากตัวอย่างในบทที่แล้ว (ใครยังไม่ได้ดู ย้อนกลับไปดูบทที่แล้วก่อนก็ได้ ค่อยกลับมาบทนี้) ที่เขียนเป็นพล๊อตไว้ นำมาเติมรายละเอียด เติมเรื่องราวให้เป็นทรีทเมนต์
“ตูนอยากกินไข่เจียวกลางดึก แต่ในตู้เย็นไม่มีไข่สักฟอง เขาค้นตามชั้นเจอมาม่า เขาจึงต้มมาม่ากินแทน”
ฮ่าๆๆๆ นี่เหรอหนังสั้นของเรา จากพล๊อตนี้ดูเหมือนจะเห็นภาพของหนังสั้นทั้งหมดแล้วนะ แต่ดูๆไป ก็ธรรมดาไปหรือเปล่า มันน่าสนใจตรงไหน แบบนี้ก็ต้องเพิ่มเติมความน่าสนใจลงไปด้วย ในการเขียนทรีทเมนต์นี้ให้ใส่รายละเอียดของหนังลงไปด้วย เวลาถ่ายทำออกมาแล้วจะเป็นไปในลักษณะตามที่ทรีทเมน์เขียนไว้ ถ้าเขียนได้ครอบคลุม ก็ทำให้เห็นโครงเรื่องทั้งหมดชัดเจน ง่ายต่อการเขียนบทภพยนตร์ต่อไป
“ตูนนอนอยู่ในห้อง เสียงฟ้าร้องและฝนตกทำให้เขาตื่น นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน เสียงท้องร้องดังขึ้น เขารีบลงไปที่ห้องครัว ลมพายุบวกกับฝนตกหนัก ไฟฟ้าจึงดับลง ตูนคลำบันไดกลับขึ้นไปที่ห้อง ไปหยิบไฟฉาย ระหว่างที่เขากลับลงมาอีกครั้ง แสงฟ้าแล็บสาดเข้ามา ทำให้เห็นเงาสลัวเหมือนมีคนยืนอยู่ที่มุมห้อง ฟ้าแล็บอีกครั้ง เงานั้นก็หายไป ตูนรีบเข้าไปในครัว เขาเปิดตู้เย็น ไฟฉายส่องข้างใน ก็ไม่เจอไข่เลยสักฟอง เขาค้นตามชั้น ตู้ในห้องครัวก็ไม่มีไข่ เขาหงิดหงิด ฟ้าแล็บอีกครั้ง เห็นเงาสลัวยืนอยู่หน้าห้องครัว ตูนตกใจส่องไฟฉายไปที่เงานั่น แต่ก็หายไป ตูนระแวง เขามองรอบๆ เสียงท้องร้องดังแรงขึ้น เขาค้นตามชั้นเจอมาม่าอยู่ซองเดียว เขาไม่รอช้า รีบเปิดเตาแก๊สต้มน้ำร้อนใส่มาม่าลงไปทันที จากนั้นเขานั่งกินมาม่า ฟ้าแล็บอีกครั้ง เงาที่ยืนอยู่หน้าห้องครัว ค่อยเดินเข้ามาหาเขา ตูนกำลังกินมาม่า เส้นคาอยู่ที่ปาก เขาตกใจถอยหนี เงานั้นค่อยๆเข้ามาใกล้ ฟ้าแล็บอีกครั้งทำให้เห็นหน้าคนที่เป็นเงาสลัวได้ชัดเจน ตูนตกใจ อึ้ง อ้าปากค้าง!!!”
จบล่ะ โอ้วววว มันดูเยอะกว่าพล๊อตเยอะเลย แถมยังเค้าโครงแกนเรื่องหลักไว้ได้ จะเห็นได้ว่า มีการเพิ่มเติมรายละเอียดลงไป เพิ่มความน่าสนใจกว่าเดิม เพิ่มเติมเนื้อหาแต่ยังคงพล๊อตเดิม ไม่ใช่เดิมเนื้อหาจนออกทะเลไป จะไปหาปลาว่างั้น
การเติมเรื่องราวเข้าไปให้มันดูน่าสนใจ ดูตื่นเต้นมากกว่าเดิม แต่อย่าลืมนะว่า หนังสั้นที่จะทำควรจะคงรูปแบบไว้ เช่นหนังผี หนังตลก หนังโรแมนติก จากหนังโรแมนติกเติมเรื่องราวไปกลายเป็นหนังผีซะงั้น อาจจะได้หนังสั้นที่ดีกว่าเดิมก็ได้นะ ทางที่ดีขอให้คงรูปแบบเดิมไว้ก่อนก็ดีนะ แล้วค่อยปรับปรุงภายหลัง
จะเห็นว่าตอนจบทิ้งท้ายไว้ ไม่มีบทสรุป เอ๊ะ มันจะจบยังไง มันจบหรือยัง หรือมันจะมีต่อ หลังจากนี้มันจะเป็นยังไง ต่างคนก็ต่างคิดกันไปไม่เหมือนกัน
ทรีทเมนท์ใส่บทพูดได้ไหม ใส่บทพูดได้นะ แต่ควรเป็นคำพูดสำคัญของเรื่อง เป็นประโยคเด็ดของเรื่อง ใส่ไปก็ได้ เช่น “ช้างกูอยู่ไหน” (อันนี้สำคัญใช่ไหม เห็นพูดทั้งเรื่อง) ถ้าไม่ใช่คำพูดสำคัญ ไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ จริงๆแล้ว ใส่ไม่ใส่ก็อยู่ที่คนเขียนทรีทเมนท์ ว่าที่เขียนไปนั้นเล่าเรื่องได้แล้วรึยัง มันกลมกล่อมไหม หรือใส่เข้าไปแล้วกลายเป็นรกหูรกตาไป มีแต่น้ำโหลงเหลง ส่วนใหญ่ไม่ใส่บทพูดกัน นอกจากบทสำคัญ เพราะว่าบทพูดจะต้องใส่ในการเขียนบทภาพยนตร์ ซึ่งจะกล่าวในบทต่อไป
เคยอ่านเรื่องสั้นไหม นิยายละ บางคนเขียนทรีทเมนท์ออกมาคล้ายกับเรื่องสั้นหรือนิยายเลย ก็ไม่แปลก ขอให้สามารถเล่าเรื่องได้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นภาพยนตร์เรื่องยาว คงจะหลายหน้า อ่านกันตาแฉะ พอๆกับอ่านนิยายหนึ่งเรื่อง เพราะฉะนั้นการเขียนทรีทเมนท์ จึงไม่ใช่การเขียนนิยายหรือเรื่องสั้น บทพูดที่ไม่จำเป็นตัดออกไป และไม่ควรใช้สำนวนแบบพรรณนา อ่านแล้วต้องจินตนาการไปไกล เช่น “ตูนหิวมาก อาการปวดท้องแผ่กระจายไปทุกเส้นประสาททุกอนุเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับอยู่บนทะเลทรายที่ร้อนระอุ” มันเวอร์ไปไหมนั่น ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ เพราะการเขียนบทภาพยนตร์ จะเขียนบรรยายในลักษณะบรรยายภาพ เขียนออกมาให้เป็นภาพมากที่สุด
หลังจากที่ได้ทรีทเมนท์แล้ว อ่านหลายๆรอบ ปรับปรุงให้เป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็เตรียมเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป คือการเขียนบท (จริงๆแล้วมีขั้นตอนก่อนการเขียนบทอีกขั้นตอนหนึ่ง คือ ซีนาริโอ (Scenario) แต่เรามักข้ามไปเลย) การเขียนบทจะเพิ่มรายะเอียดลงไปอีก ฮ่ะ นี่ยังไม่ละเอียดอีกเหรอ ฮ่าๆๆๆๆ ….. ยังๆๆๆ จะเห็นว่า พล๊อตกับทรีทเมนต์ จะเล่าเรื่องได้ไปในทิศทางเดียวกัน คงประเด็นหลักไว้ได้ชัดเจน แต่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเข้ามาให้เป็นรูปร่างของหนังมากขึ้นชัดเจนขึ้น
ลองไปฝึกเขียนดูนะครับ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ ก็จะคล่อง ทรีทเมนท์เขียนไม่ยากนะครับ
เตรียมตัวในบทต่อไป "เขียนเล่าเรื่องจากภาพด้วยบทภาพยนตร์"
ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ เข้าใจแจ่มแจ้ง ชัดเจนมาก
ตอบลบ